แคทลีน หัวใจสลาย เธอสูญเสียบุตรและธิดาวัยทารกสี่คนซึ่งทยอยกันตายอย่างประหลาด หนำซ้ำสามียังปรักปรำว่าเธอเป็นฆาตกรสังหารลูก แล้วเขาก็แยกทางไปแต่งงานใหม่ แคทลีน โฟลบิกก์ คุณแม่ออสซี่คนนี้ถูกดำเนินคดีและต้องโทษจำคุกข้อหาสังหารเด็กๆ นานกว่า 20 ปี จนเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก แต่ตอนนี้ได้รับความเป็นธรรมจากความช่วยเหลือของคณะนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยออสเตรเลียน เนชั่นแนล ยูนิเวอร์ซิตี ซึ่งอยู่ระหว่างพิสูจน์ให้กระจ่างใจว่า สาเหตุการตายของสี่หนูน้อยตระกูลโฟลบิกก์เป็นปัญหาความผิดปกติทางธรรมชาติเพราะมียีนกลายพันธุ์ที่ทำให้ไม่สามารถหายใจได้

แคทลีน ต้องโทษจำคุกเพราะฆ่าลูก 4 คน

คุณแม่ชาวออสเตรเลียซึ่งต้องโทษจำคุกไปแล้ว 80% คือ 20 ปีจากทั้งหมด 25 ปี ในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าสังหารลูกๆ วัยทารก 4 คน บัดนี้เธอได้รับอิสรภาพแล้ว เมื่อทางการยอมเชื่อการพิสูจน์ของนักวิทยาศาสตร์ว่าเด็กๆ เสียชีวิตด้วยโรคตามธรรมชาติสืบเนื่องจากมีการกลายพันธุ์ในยีน ส่งผลให้ไม่สามารถหายใจได้ และจึงออกคำสั่งอภัยโทษซึ่งทำให้คุณแม่ออสซี่พ้นคุกตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา (5 มิถุนายน) แม้กระบวนการทบทวนความถูกต้องของการตัดสินคดี ยังไม่เสร็จสิ้นก็ตาม ในการนี้คุณแม่ผู้อาภัพ มีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะยื่นฟ้องทางการนิวเซาท์เวลส์เพื่อร้องเรียกเงินชดเชยชีวิตที่สูญหายไปสองทศวรรษ ซึ่งคาดว่าจะได้รับเป็นจำนวนหลายล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือก็คือหลายสิบล้านบาท

แคทลีน โฟลบิกก์ รับโทษจำคุกไปแล้ว 20 ปี หลังจากคณะลูกขุนลงความเห็นว่าเธอเป็นฆาตกรสังหารบุตรและธิดารวม 4 ราย ในระหว่างปี 1989-1999 ได้แก่

ในปี 1989 น้องเคลเลป บุตรชายวัย 19 วัน เสียชีวิตโดยไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกาย
ในปี 1991 น้องแพทริก บุตรชายวัย 8 เดือน เสียชีวิตโดยไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกาย
ในปี 1993 น้องซาราห์ ธิดาวัย 10 เดือน เสียชีวิตโดยไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกาย
และในปี 1999 น้องลอรา ธิดาวัย 18 เดือน เสียชีวิตโดยไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกาย

เมื่อวันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2023 ผู้ว่าการรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ได้ใช้อำนาจผู้บริหารสูงสุดของรัฐ ลงนามให้อภัยโทษแก่ แคทลีน โฟลบิกก์ จึงได้อิสรภาพคืนและได้รับการปล่อยตัวทันที ขณะที่การฟื้นคดีขึ้นพิจารณาหลักฐานใหม่อันเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์นั้นยังไม่เสร็จสิ้น แต่เป็นที่คาดหวังกันอย่างยิ่งว่าคณะนักวิทยาศาสตร์จะประสบความสำเร็จในการคว่ำข้อกล่าวหาว่าเธอเป็นฆาตกรได้สำเร็จ โดยอาจต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปี

ทั้งนี้ แพทย์ระบุผลการชันสูตรศพในใบมรณบัตรของหนูน้อยแต่ละรายว่า เป็นการตายตามธรรมชาติ เช่น การไหลตายในทารกที่เรียกกันว่า Cot death และอาการลมชักซึ่งทำให้ร่างกายหมดสติ ขณะที่กล้ามเนื้อก็เกร็งจนไม่สามารถหายใจได้ แต่ดราม่าแห่งชีวิตครอบครัวอุบัติขึ้นในปี 2003 เมื่อเกร็ก โฟลบิกก์ สามีของแคทลีนและบิดาของน้องๆ ทั้งสี่ นำไดอารีบันทึกความทรงจำของเธอไปมอบแก่ตำรวจ เพื่อให้ทำการจับกุมภรรยาไปดำเนินคดีข้อหาฆาตกรรม เพราะข้อความหลายแห่งในไดอารีมีความกำกวมที่ชวนให้ตีความว่า คุณแม่ออสซี่ตั้งใจปลิดชีวิตลูก

การไต่สวนในชั้นศาลดำเนินอยู่ 7 สัปดาห์ ขณะที่สื่อมวลชนสารพัดค่ายแข่งกันขยี้ข่าวจนครึกโครม อื้อฉาว เป็นที่สะเทือนขวัญผู้คน แคทลีนถูกเกลียดชังและถูกตั้งฉายาว่า หญิงฆาตกรต่อเนื่องที่ร้ายกาจที่สุดของออสเตรเลีย ในเดือนพฤษภาคม 2003 เธอถูกคณะลูกขุนตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฆาตกรรม โดยทำให้เด็กแต่ละคนหายใจไม่ได้ จนกระทั่งเด็กเสียชีวิต และต่อมาในเดือนตุลาคม เธอถูกกำหนดโทษจำคุก 40 ปี โดยภายหลังมีการลดโทษเหลือ 25 ปี

ในปี 2018 ชะตาชีวิตของแคทลีน โฟลบิกก์ กระเตื้องขึ้น เนื่องจากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยออสเตรเลียน เนชั่นแนล ยูนิเวอร์ซิตี พบว่ารหัสพันธุกรรมภายในสาย DNA ที่เด็กๆ ได้รับจากคุณแม่ มีการกลายพันธุ์ และการกลายพันธุ์ของยีนเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หรือ Sudden Cardiac Death (SCD) พร้อมนี้ ยังพบข้อชี้บ่งที่เกี่ยวข้องโดยตรงด้วยว่ากรณีของซาราห์และลอรา มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบด้วย คณะนักวิจัยจึงเชื่อว่านี่เป็นสาเหตุของการตายในซาราห์และลอรา นอกจากนั้น การวิจัยยังพบว่าการกลายพันธุ์ดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับอาการลมชักที่รุนแรงถึงตาย ที่อาจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของแพทริกและเคลเลป

ด้วยเหตุนี้ นับจากเดือนสิงหาคม 2018 เป็นต้นมา กลุ่มช่วยเหลือแคทลีน โฟลบิกก์ ได้ยื่นคำร้องเรียนขอให้ไต่สวนความถูกต้องในการตัดสินคดี เนื่องจากมีหลักฐานใหม่จากการผลการวิจัย ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ทารกน้อยทั้งสี่ของครอบครัวโฟลบิกก์น่าจะเสียชีวิตด้วยสาเหตุทางธรรมชาติ

ที่ผ่านมานับจากปี 2022 ได้มีการไต่สวนรับฟังคำชี้แจงจากคณะนักวิทยาศาสตร์แห่งออสเตรเลียน เนชั่นแนล ยูนิเวอร์ซิตี ซึ่งเชื่อว่าลูกทั้งสี่ของเธอ โฟลบิกก์ น่าจะเสียชีวิตตามธรรมชาติ และนับวันที่ผ่านมา กระแสสังคมเริ่มเข้าใจ และพลิกกลับมาเห็นใจคุณแม่ผู้อาภัพวัย 55 ปีรายนี้

คดีใหญ่ที่สุดมีผลตัดสินออกมาไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม

แคทลีนยืนยันเสมอว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ภายในกระบวนการทางศาล เธอถูกกล่าวหาว่าเธอใช้วิธีปิดกั้นไม่ให้ลูกสามารถหายใจได้ เช่น ใช้หมอนกดปิดใบหน้าและจมูก

กลุ่มช่วยเหลือแคทลีน โฟลบิกก์ ซึ่งนำโดย เทรซี่ แชปแมน เพื่อนของเธอที่สนิทสนมรักและไว้ใจกันมาตั้งแต่สมัยวัยเรียน ได้ยื่นเรื่องขออุทธรณ์หลายครั้ง และในการไต่สวนใหม่เมื่อปี 2019 ก็มีคำตัดสินว่าไม่พบมูลเหตุให้เห็นว่าการตัดสินคดีเมื่อปี 2003 มีข้อน่าเคลือบแคลงใดๆ ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าการพิจารณาคดีมักที่จะให้น้ำหนักมากมายแก่หลักฐานแวดล้อม

แต่ในการไต่สวนทบทวนตามหลักฐานใหม่ของคณะนักวิจัยนับจากปี 2021 ซึ่งนำโดยอดีตผู้พิพากษาทอม บาเธิสท์ แห่งศาลสูงสุดรัฐนิวเซาท์เวลส์ ทีมอัยการยอมรับว่างานวิจัยว่าด้วยการกลายพันธุ์ในยีนได้เปลี่ยนความเข้าใจของพวกเขาต่อเรื่องสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กๆ ทั้งสี่

อัยการสูงสุดแห่งรัฐนิวเซาท์เวลส์ นาม ไมเคิล ดาลีย์ ประกาศไว้ในวันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน ว่าผู้พิพากษาบาเธิสท์ ประธานคณะไต่สวนทบทวนคดี มีความคิดเห็นที่ชัดเจนแล้วว่ามีประเด็นที่ชี้บ่งว่าแคทลีนโฟลบิกก์ อาจจะไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา ดังนั้น ผู้ว่าการรัฐนิวเซาท์เวลส์จึงลงนามให้อภัยโทษ และคืนอิสรภาพแก่คุณแม่ผู้สุดแสนจะอาภัพโดยทันที โดยไม่ต้องรอให้กระบวนการไต่สวนทบทวนเสร็จสิ้น

“เธอรับโทษจำคุกมา 20 ปีแล้ว ผมขอให้เธอได้รับความสันติสุขครับ เรื่องราวของเธอเป็นอะไรที่ไม่อาจจะไม่รู้สึกสงสาร” ไมเคิล ดาลีย์ อัยการสูงสุดแห่งรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวอย่างนั้น พร้อมกับบอกด้วยว่าขอส่งความปรารถนาดีไปยังคุณพ่อเกร็ก โฟลบิกก์ ของเด็กๆ ผู้ล่วงลับด้วย

ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าในระหว่างให้ปากคำในปี 2022 คุณพ่อเกร็ก โฟลบิกก์ ยังเดินหน้าปรักปรำอดีตภรรยาด้วยคำกล่าวที่ว่า เป็นไปไม่ได้หรอกที่พี่น้องท้องเดียวกันจะพากันเสียชีวิตทุกคน ด้วยสาเหตุตามธรรมชาติตั้งแต่อายุไม่ถึงสองปี

แคทลีน

การฟ้องค่าชดเชยจากการพลิกคำตัดสิน

อัยการไมเคิล อาลีย์ แถลงย้ำว่าแม้มีการอภัยโทษให้แก่แคทลิน โฟลบิกก์ อย่างไม่มีเงื่อนไข แต่สถานภาพคำตัดสินลงโทษจำคุกที่เธอได้รับตั้งแต่ปี 2003 ยังไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งถ้าอดีตผู้พิพากษาบาเธิสต์ เลือกที่จะส่งเรื่องไปยังศาลอุทธรณ์คดีอาชญากรรม ศาลนี้จะเป็นผู้ตัดสิน โดยกระบวนการอาจยืดยาวไปถึงหนึ่งปี ยิ่งกว่านั้น เธอมีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยจากภาครัฐได้แบบเรือนล้านดอลลาร์

เรื่องดังกล่าวนี้ มีกรณีบรรทัดฐานจากคดีคุณแม่ลินดี แชมเบอร์เลน ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรสังหารน้องอาซาเรีย ลูกน้อยวัยเพียง 9 เดือนขณะตั้งแคมป์ที่เมืองอูลูรูในปี 1987 คณะลูกขุนตัดสินว่าเธอกระทำอาชญากรรมตามข้อกล่าวหา ทำให้เธอต้องโทษจำคุก เวลาผ่านไปสามปี และการพิจารณาคดีตามหลักฐานการชันสูตรศพในภายหลัง ได้พบว่าน้องอาซาเรียเสียชีวิตเพราะหมาป่า

ดังนั้น เมื่อลินดี แชมเบอร์เลนได้รับอิสรภาพ เธอยื่นเรื่องฟ้องร้อง ซึ่งยุติด้วยการตกลงรอมชอมจากทางการออสซี่ในปี 1992 ทำให้เธอได้รับค่าเสียหายเป็นเงิน 1.3 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือราว 858,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือราว 31 ล้านบาท

ในการนี้ มีผู้สันทัดกรณีทำการคิดเลขบัญญัติไตรยางศ์ และชี้ว่าค่าชดเชยสำหรับคุณแม่แคทลินซึ่งติดคุกนาน 20 ปี ก็ต้องหลายๆ ล้านดอลลาร์

“เป็นไปไม่ได้เลยค่ะที่จะรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดในดวงใจของคุณแคทลีนโฟลบิกก์ ซึ่งมีทั้งการสูญเสียลูกน้อย และการถูกกุมขังในคุกควบคุมสูงสุด สืบเนื่องจากข้อหาอาชญากรรมซึ่งวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ให้ปรากฏแล้วว่าไม่มีฆาตกรรมใดๆ เกิดขึ้นจริง” ทนายเรนี รีโก ของแคทลีน โฟลบิกก์ กล่าวในคำแถลง

เธอได้ก้าวพ้นกำแพงคุกในวันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน ได้กลับคืนสู่อ้อมกอดของเพื่อนๆ มากมายที่ช่วยกันรณรงค์เรียกร้องอิสรภาพแก่เธออย่างไม่ลดละหลายต่อหลายปี ขณะที่อัยการสูงสุดไมเคิล ดาลีย์ เรียกร้องให้ฝ่ายต่างๆ อาทิ สื่อมวลชน มอบความเป็นส่วนตัวแก่เธอเพื่อที่เธอจะเดินหน้าต่อไปในชีวิตบทใหม่ กฎหมายจะต้องรับพิจารณาแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น

สาเหตุสำคัญที่ทำให้การตัดสินคดีผิดพลาด

สองสาเหตุสำคัญที่ทำให้การตัดสินคดีในปี 2003 ออกมาในทางเป็นโทษแก่ แคทลีน โฟลบิกก์ โดย

  • สาเหตุประการแรก

คือคณะลูกขุนพุ่งเป้าไปพิจารณาหลักฐานแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไดอารีต่างๆ ที่เธอบันทึกความคิดความรู้สึกขณะต่อสู้กับปัญหาทั้งปวงที่มารดาต่างต้องเผชิญ

“ฉันตะโกนใส่ลูกอย่างโกรธจัด ลูกกลัวมาก แต่ลูกไม่หยุดร้องไห้ สถานการณ์ตอนนั้นเลวร้ายเหลือเกิน ฉันแทบจะอยากทิ้งลูกลงพื้น แล้วเดินหนี ฉันระงับใจไว้ได้มากเพียงพอที่จะวางลูกบนเบาะ แล้วเดินหนีไปสงบสติอารมณ์ในห้อง โดยปล่อยให้ลูกร้องไห้ไป”

“เวลาคงจะผ่านไปสักห้านาที แต่ฉันรู้สึกเหมือนเนิ่นนานชั่วชีวิต ฉันรู้สึกว่าตนเองเป็นแม่ที่แย่ที่สุดในโลก ทำให้ลูกหวาดกลัว แล้วลูกก็จะหนีฉันไป เหมือนที่ซาราห์เคยหนีฉันไปแล้ว ฉันรู้ว่าตนเองเจ้าโทสะ และบางครั้งก็โหดร้ายใส่ซาราห์ ซาราห์จึงหนีฉันไป โดยมีความช่วยเหลือนิดหนึ่ง”

แคทลีนจดถ้อยคำเหล่านี้เมื่อวันที่ 28 มกราคม 1998 โดยเริ่มจดไดอารีในช่วงที่มีลอราแล้ว แต่ในช่วงที่มีซาราห์นั้น เธอยังไม่ได้เขียนไดอารี เดอะการ์เดียนรายงาน และบอกด้วยว่าในวันก่อนวันปีใหม่ ได้เขียนในลักษณะล้อเลียนการตายของซาราห์ดังนี้

“ลูก (ลอรา) เป็นทารกที่มีธรรมชาติดีค่อนข้างมาก ขอบคุณพระเจ้า นี่จะช่วยรักษาเธอไว้จากชะตากรรมของพี่สาว ฉันคิดว่าลูกคงได้รับคำเตือนมาก่อน”

“คิดดูแล้วฉันรับมือกับการที่ลอราร้องไห้จนชัก ได้ดีกว่าที่ฉันดูแลซาราห์ – ฉันสรุปบทเรียนมาว่า ให้เดินหนีออกมาก่อน มาหายใจเรียกสติ มันช่วยให้ฉันรับมือกับสถานการณ์ได้ และคิดออกว่าจะช่วยลูกอย่างไร” เธอบรรยายไว้ในบันทึก

“กับซาราห์แล้ว ทั้งหมดที่ฉันต้องการคือ ให้ลูกเงียบเสียที แล้วในวันหนึ่ง ลูกก็ได้เงียบเสียงไป”

ทั้งนี้ แคทลีนเปิดใจอธิบายปมน่าสงสัยเหล่านี้ในปี 2018 ว่า

“ไดอารีพวกนี้ถูกเขียนขึ้นจากมุมของฉันที่คอยแต่จะตำหนิตนเอง

“ฉันตำหนิตนเองในทุกสิ่ง ฉันแบกความรู้สึกรับผิดชอบมากเหลือเกิน ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นแม่จะต้องทำ”

  • สาเหตุประการที่สอง

มีอยู่ว่าหลักฐานทางการแพทย์ ซึ่งระบุชัดเจนว่าไม่มีร่องรอยการปิดกั้นการหายใจ อีกทั้งยังระบุด้วยว่าไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บใดๆ เกิดขึ้นกับร่างกายของเด็กทั้งสี่ราย นั้น มิได้ถูกนำขึ้นสู่กระบวนการพิจารณาคดี

สำหรับคำถามว่าข้อความที่แคทลีนเขียนในไดอารีเล่มต่างๆ จะเป็นเครื่องชี้บ่งว่าเธอลงมือสังหารลูก ได้หรือไม่นั้น ในการไต่สวนทบทวนคดีที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายที่ให้ปากคำ ได้ชี้ว่าการเขียนในไดอารีเหล่านั้นเป็นกลไกเยียวยาตนเองเพื่อให้อยู่รอดกับความทุกข์ตรมของคนเป็นแม่ ซึ่งต้องรับมือกับปัญหาทั้งปวงโดยไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนเชิงกำลังใจ-ความรู้สึก-หรือความรู้ความเข้าใจด้านจิตวิทยาการเลี้ยงดูทารก

พร้อมนี้ ผู้เชี่ยวชาญชี้ด้วยว่าหากเด็กทั้งสี่รายถูกปิดกั้นลมหายใจ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะไม่มีร่องรอยปรากฏบนร่างกาย ในการนี้ การดำเนินคดีเล่นงานแคทลีน โฟลบิกก์ มุ่งแต่จะใช้แต่หลักฐานแวดล้อม โดยปักใจอยู่กับประเด็นที่ว่า โอกาสที่เด็กสี่คนจากครอบครัวเดียวกันจะเสียชีวิตเพราะสาเหตุตามธรรมชาตินั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้

ดังนั้น หลักฐานทางการแพทย์จึงถูกปฏิเสธ โดยไปให้น้ำหนักแก่การตีความข้อเขียนบันทึกความจำของผู้เป็นมารดา ซึ่งเต็มไปด้วยความเคลือบคลุม และไม่มีข้อเขียนจุดใดที่ยอมรับว่ามีการลงมือปลิดชีพ จนกระทั่งเมื่อศาสตราจารย์คาโรลา บีนอยซา แห่งมหาวิทยาลัยออสเตรเลียน เนชั่นแนล ยูนิเวอร์ซิตี นักวิจัยที่มีผลงานโดดเด่นมากมาย เข้ามาศึกษาคดีนี้ และสามารถอธิบายสาเหตุการเสียชีวิตของน้องๆ บ้านโฟลบิกก์ได้ คำตัดสินคดีเมื่อปี 2003 จึงส่อแววว่าจะผิดพลาด

ทั้งนี้ ศ.คาโรลาเริ่มต้นสนใจกับปมการชันสูตรศพว่าเด็กทั้ง 4 ราย เสียชีวิตโดยไม่มีร่องรอยว่าร่างกายถูกแตะต้อง ศ.คาโรลาเล็งเห็นความเป็นไปได้บางอย่าง จึงนำ DNA ที่ดึงจากเลือดของเด็ก(ในแฟ้มประวัติตอนคลอดที่จัดทำโดยโรงพยาบาล) มาวิเคราะห์ และพบว่ารหัสพันธุกรรมภายในสาย DNA ที่เด็กๆ ได้รับจากมารดานั้น มีการกลายพันธุ์ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยถูกพบเจอหรือรายงานเป็นหลักฐานมาก่อน

การกลายพันธุ์ของยีนเชื่อมโยงกับการเสียชีวิต

มีการพบแล้วว่าการกลายพันธุ์ของยีนนี้เชื่อมโยงกับการเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หรือ Sudden Cardiac Death (SCD)

ศ.บีนอยซารายงานว่าพบการกลายพันธุ์ดังกล่าวปรากฏอยู่ในกรณีของซาราห์และลอรา โดยในการชันสูตรศพลอรานั้น มีสิ่งชี้บ่งถึงอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบด้วย ดังนั้น ศ.บีนอยซาจึงเชื่อนี่ว่าเป็นสาเหตุของการตายในซาราห์และลอรา โดยมีการเขียนรายงานออกเผยแพร่ด้วยว่าคณะผู้วิจัยสรุปร่วมกันว่าการกลายพันธุ์ของ CALM2 “อาจส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตด้วยเหตุอันเป็นธรรมชาติในเด็กหญิงสองคนของบ้านโฟลบิกก์ โดยการเปลี่ยนจังหวะเต้นของหัวใจ

ยิ่งกว่านั้น การกลายพันธุ์ได้เกิดขึ้นในเด็กชาย 2 คนคือ เคลเลป และแพทริก ด้วย โดยเป็นการกลายพันธุ์ที่หายากเช่นกัน แต่แตกต่างจากซาราห์และลอรา คือ การกลายพันธุ์นี้เกิดในยีนที่ส่งผลเชื่อมโยงกับอาการลมชักที่รุนแรงถึงตายได้ ทั้งนี้ แพทริกถูกตรวจพบว่ามีอาการของโรคลมชักตั้งแต่ที่ยังอยู่ในท้องแม่ ส่วนเคลเลปนั้นมีปัญหากระดูกกล่องเสียงอ่อนยวบ ทำให้มีอาการหายใจติดขัดและหายใจกรนดัง

ศ.บีนอยซาจึงเสนอข้อสรุปอย่างชัดเจนว่า ในกรณีของเด็กๆ โฟลบิกก์ทั้งสี่ราย มีหลักฐานการชันสูตรศพและหลักฐานเชิงการแพทย์ ที่ชี้ไปถึงการเสียชีวิตด้วยสาเหตุตามธรรมชาติ ทั้งนี้ ศ.บีนอยซาให้ข้อมูลแก่บีบีซีด้วยว่า มีการพบเคสที่หัวใจมีปัญหาถึงขั้นเสียชีวิตโดยปัญหานี้เกี่ยวโยงอยู่กับการกลายพันธุ์ของยีน ปรากฏในย่านต่างๆ ของโลกเพียง 134 ราย

พร้อมนี้ ศ.บีนอยซากล่าวด้วยว่าการตัดสินใจให้อภัยโทษแก่ แคทลีน โฟลบิกก์ เป็นเรื่องที่งดงามอย่างยิ่ง และมอบความหวังให้แก่สตรีอื่นๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ละม้ายกัน

“คณะนักวิจัยได้รับการติดต่อขอให้ช่วยศึกษาเคสของคุณแม่หลายรายที่ละม้ายกัน คือ สูญเสียลูก แล้วยังถูกตั้งข้อหาดำเนินคดี โดยเคสเหล่านั้นอาจเป็นปัญหาจากยีนกลายพันธุ์”

ศาสตราจารย์ย้ำว่ากรณีของ แคทลีน โฟลบิกก์ ทำให้ตระหนักว่าจะต้องมีการปฏิรูปเพื่อทำให้ระบบกฎหมายมีความอ่อนไหวมากขึ้นกับข้อบ่งชี้จากการพิสูจน์โดยวิทยาศาสตร์

 

แคทลีน โฟลบิกก์ ต้องโทษจำคุกไปกว่า 20 ปี จากการถูกกล่าวหาว่าสังหารลูกๆ วัยทารก 4 คน ถือเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ผลการชันสูตรศพในใบมรณบัตรของหนูน้อยแต่ละรายว่า เป็นการตายตามธรรมชาติ แต่สามีและคนใกล้ชิดได้นำหลักฐานบางอย่างไปแจ้งความ ทำให้ถูกคณะลูกขุนตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฆาตกรรม และศาลตัดสิจโทษจำคุก ต่อมาคณะนักวิทยาศาสตร์แห่งออสเตรเลียน เนชั่นแนล ยูนิเวอร์ซิตี ซึ่งเชื่อว่าลูกทั้งสี่ของเธอ โฟลบิกก์ น่าจะเสียชีวิตตามธรรมชาติ และนับวันที่ผ่านมา กระแสสังคมเริ่มเข้าใจ และพลิกกลับมาเห็นใจคุณแม่ผู้อาภัพวัย 55 ปีรายนี้ รายงานออกเผยแพร่ด้วยว่าคณะผู้วิจัยสรุปร่วมกันว่าการกลายพันธุ์ของ CALM2 อาจส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตด้วยเหตุอันเป็นธรรมชาติ จึงทำให้มีการอภัยโทษแก่แคทลีน

 

เรื่องราวรอบโลกอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ที่มาของบทความ

  • บีบีซี สกายนิวส์ เดอะการ์เดียน

 

ติดตามอ่านเรื่องรอบโลกได้ที่  fuji-homebank.com

สนับสนุนโดย  ufabet369